๑. ด้านการเงินการธนาคาร
๑.๑ บ. Morningstar ซึ่งเป็น บ. วิเคราะห์ข้อมูลด้านการเงิน รายงานว่า นักลงทุนได้ถอนเงินลงทุนจำนวน ๒.๘ พันล้านปอนด์ออกจาก สอ. ในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยมาจากความไม่ชัดเจนเรื่อง Brexit และความซบเซาของธุรกิจค้าปลีกในย่านธุรกิจ โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า นักลงทุนได้ถอนเงินลงทุนออกจากกองทุนอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ (commercial property funds) โดยกองทุนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ กองทุนของ M&G Investments ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในอาคารพาณิชย์ที่มีผู้เช่า เช่น ห้าง House of Fraser, Topshop, New Look และ Marks & Spencer เป็นต้น (มีการถอนเงินสดไปกว่า ๑ พันล้านปอนด์) และของ The Aberdeen UK Property Fund (มีการถอนเงินสดจำนวน ๗๗๓ ล้านปอนด์) ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนได้สั่งระงับการขายกองทุนดังกล่าวชั่วคราวแล้วเนื่องจากเกรงจะกระทบต่อความผันผวนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงสิ้นปี และคาดว่านักลงทุนจะสามารถเข้าถึงเงินลงทุนของตนได้อีกครั้งหลังเปิดตลาดในช่วงปีใหม่แล้ว
๑.๒ บ. Barclaycard ซึ่งเป็นบริษัทบัตรเครดิตอันดับต้น ๆ ของ สอ. รายงานว่า ยอดการจับจ่ายใช้สอยใน สอ. ในวัน Black Friday (ปลายเดือน พ.ย. ๒๕๖๒) มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึงร้อยละ ๑๖.๕ และมีจำนวนธุรกรรมผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ ๗.๒ อีกทั้งยังส่งผลต่อเนื่องให้จำนวนยอดการจับจ่ายใช้สอยในวัน Cyber Monday (ต้นสัปดาห์ต่อเนื่องของเดือน ธ.ค. ๒๕๖๒) ก็มีอัตราเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ ๖.๙ เช่นกัน นอกจากนี้ ข้อมูลของ บ. Springboard ระบุว่า จำนวนผู้จับจ่ายใช้สอยบนถนนย่านการค้า (High Streets) ในวัน Black Friday เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ ๓.๓ ในขณะที่มีผู้ที่จับจ่ายใช้สอยในศูนย์การค้า (shopping centre) เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๖.๕ ทั้งนี้ แนวโน้มที่สูงขึ้นน่าจะมีสาเหตุจากพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลวันหยุดและประเพณีการซื้อของให้กันในช่วงดังกล่าวด้วย แม้ว่าราคาสินค้า (หลังหักส่วนลดแล้ว) โดยเฉลี่ยจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าปีก่อนก็ตาม
๑.๓ ธนาคารกลางของอังกฤษ (Bank of England – BoE) ประกาศแต่งตั้งนาย Andrew Bailey ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ BoE คนใหม่ (คนที่ ๑๒๑) แทนนาย Mark Carney ผู้ว่าฯ คนปัจจุบัน โดยจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ ๑๖ มี.ค. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป โดยนาย Sajid Javid รมว. คลัง กล่าวว่า นาย Bailey เป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของ รบ. สอ. ที่กำลังมุ่งสร้าง คสพ. ใหม่กับประเทศนอก EU นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังมองว่า ประสบการณ์ของนาย Bailey จากการทำงานให้กับ BoE เป็นเวลา ๓๑ ปี (ปี ๒๕๒๘ – ๒๕๕๙) และเคยทำหน้าที่กำกับดูแล/ตรวจสอบธุรกรรมของสถาบันการเงิน (the Financial Conduct Authority – FCA) จะช่วยขับเคลื่อน ศก. สอ. ในช่วง post-Brexit ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งจะช่วยคลี่คลายข้อครหาในปัจจุบันเกี่ยวกับการทุจริตขายข่าวภายใน BoE ให้แก่นักธุรกิจภายนอกที่แสวงหาประโยชน์จากข้อมูลรายงานการแถลงข่าวล่วงหน้าของผู้ว่าการ BoE ในการซื้อขายระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร
๒. ด้านธุรกิจและอุตสาหกรรม
๒.๑ บ. John Lewis Partnership ประกาศเปลี่ยนการจ้าง (outsource) พนักงาน call centre ที่ปัจจุบันทำกับ บ. Sitel (บริษัทของสหรัฐฯ ใน สอ. ตั้งอยู่ที่เมือง Plymouth) เป็นการ outsource ไปยังประเทศฟิลิปปินส์แทน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเลิกจ้างพนักงานใน สอ. ก่อนสิ้นปีจำนวน ๓๐๐ ตำแหน่ง ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เริ่มทยอยดำเนินการ outsource บางส่วนไปยังประเทศฟิลิปปินส์ตั้งแต่เดือน มี.ค. ๒๕๖๒ แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้ประกาศปรับโครงสร้างบริษัทและลดจำนวนผู้บริหารอาวุโสจำนวน ๗๕ ตำแหน่ง (จากทั้งหมด ๒๒๕ ตำแหน่ง) และจะมีผลตั้งแต่เดือน ก.พ. ๒๕๖๓ เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนจำนวน ๑๐๐ ล้านปอนด์ต่อปี
๒.๒ นาย John Fallon ปธ. ฝ่ายบริหารของ บ. Pearson ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำทางด้านธุรกิจการศึกษาใน สอ. ประกาศลาออกจากตำแหน่งในปี ๒๕๖๓ เนื่องจากปัญหาด้านผลประกอบการของบริษัทฯ ที่ติดลบต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ที่มีผลกำไรสุทธิจากธุรกิจการขายหนังสือเรียน (textbooks) ลดลง เนื่องจากนักศึกษาหันไปพึ่งพาช่องทางออนไลน์และซื้อหนังสือมือสองแทน ทั้งนี้ ในช่วงการบริหารของนาย Fallon มีการปรับโครงสร้างโดยการปลดพนักงานจำนวน ๑๖,๐๐๐ ตำแหน่งไปแล้วและมีการขายหุ้นในกิจการส่วนอื่น เช่น สำนักพิมพ์ Penguin , the Financial Times, The Economist เพื่อระดมเงินลงทุนไปพัฒนาโครงการด้านดิจิทัลและการลงทุนด้านอื่น ๆ เพื่อปฏิรูปและฟื้นฟูธุรกิจด้าน educational services เป็นหลัก แต่ด้วยการแข่งขันที่สูงจากคู่แข่งอย่าง บ. Amazon และ บ. Chegg (ผู้นำในการให้บริการเช่าหนังสือในรูปแบบดิจิทัล) ทำให้ผลประกอบการยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ทั้งนี้ รายงานข่าวดังกล่าวไม่ได้ระบุว่า ธุรกิจของ บ. Pearson ใน สอ. จะได้รับผลกระทบใด
๒.๓ บ. PSA Group และ บ. Fiat Chrysler Automobiles ประกาศควบรวมกิจการของสองบริษัทในสัดส่วน ๕๐ ต่อ ๕๐ ซึ่งมีทำให้มีมูลค่ารวมกว่า ๓.๕ หมื่นล้านปอนด์ กลายเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ ๔ ของโลก โดยการควบรวมกิจการดังกล่าวสามารถช่วยลดต้นทุนของบริษัทฯ ได้ประมาณ ๓.๗ พันล้านปอนด์ โดยไม่ต้องเลิกจ้างหรือปิดโรงงานใด) จึงทำให้บริษัทฯ ยืนยันว่า จะไม่ปิดศูนย์ผลิตใน สอ. (ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า บ. PSA มีแผนปิดศูนย์การผลิตที่เมือง Cheshire หากได้รับผลกระทบจาก Brexit) ทั้งนี้ ยี่ห้อรถยนต์ที่ผลิตโดยกลุ่ม บ. PSA Group และ บ. Fiat Chrysler รวมกัน ได้แก่ Citroën, Opel, Vauxhall, Alfa Romeo, Jeep และ Maserati ซึ่งที่ผ่านมามียอดขายรวมประมาณ ๙ ล้านคันต่อปี
๒.๔ บ. Rolls-Royce ประกาศลดจำนวนการรับพนักงาน/นักศึกษาจบใหม่เพื่อเข้าฝึกงานในโครงการ Early Careers Programme จาก ๔๖๕ คน ในปี ๒๕๖๒ เป็น ๓๓๐ คน ในปี ๒๕๖๓ (ลดลงร้อยละ ๓๐) เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ต้องการลดการจ้างงานจำนวน ๔,๖๐๐ ตำแหน่งภายในกลางปี ๒๕๖๓ เนื่องจากบริษัทฯ ประสบปัญหาผลกำไรที่ลดลงถึง ๑.๔ พันล้านปอนด์ และผลกระทบจากปัญหาการผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน Boeing รุ่น 787
๓. ข้อสนเทศเพิ่มเติม
๓.๑ ผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๑๒ ธ.ค. ๒๕๖๒ ที่พรรค รบ. สอ. ชนะการเลือกตั้งแบบ clear majority และผลการลงคะแนนเสียงในสภาสามัญ สอ. เมื่อวันที่ ๒๐ ธ.ค. ๒๕๖๒ ที่ให้ความเห็นชอบต่อร่าง กม. Withdrawal Agreement Bill แล้ว ทำให้สถานการณ์เรื่อง Brexit มีความชัดเจนขึ้นทันที และส่งผลให้ภาคธุรกิจส่วนใหญ่มีเสียงตอบรับในทางที่ดีเนื่องจากต้องการเห็นความชัดเจนและการหลุดจากปัญหาชะงักงันทางการเมือง โดยสังเกตได้จากความเคลื่อนไหวอัตราแลกเปลี่ยนเงินปอนด์ที่ปรับตัวในทิศทางบวกทันทีหลังทราบผลการเลือกตั้งทั่วไปอย่างไม่เป็นทางการ
๓.๒ บรรยากาศทางการเมืองที่ดีขึ้นได้ส่งผลทางจิตวิทยาทำให้สภาพคล่องใน ศก. สอ. ดีขึ้นด้วยเช่นกันกอปรกับเป็นช่วงเวลาเทศกาลที่มีธุรกรรมทาง ศก. สูงอยู่แล้ว จึงทำให้แนวโน้มการจับจ่ายใช้สอยของ ปชช. ทั่วไปที่เริ่มดีขึ้นตามลำดับ รายงานข่าว ศก. ทั่วไปในช่วงครึ่งเดือนหลังของ ธ.ค. ๒๕๖๒ จึงดูมีแนวโน้มทางบวกมากกว่าทางลบ แต่ทุกภาคส่วนยังคงติดตามพัฒนาการเกี่ยวกับ คสพ. ใหม่กับ EU อย่างใกล้ชิดต่อไป ซึ่งหากมีข้อติดขัดใดในการเจรจา ก็อาจสร้างความกังวลรอบใหม่ต่อกรณีความเสี่ยงที่จะเกิด No-deal Brexit อีกครั้งได้